ฟิลเลอร์ เติมเต็มความมั่นใจ ให้หน้าสวยครบทุกมิติ

สารบัญ

ฟิลเลอร์ คืออะไร ?

ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ที่ได้รับการสังเคราะห์ขึ้นมาโดยเลียนแบบสารตามธรรมชาติของร่างกาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกักเก็บน้ำและความชุ่มชื้นเพื่อให้ผิวหนังเกิดความยืดหยุ่นและคงตัว จนสามารถเติมเต็มร่องลึกต่างๆ และใช้ปรับโครงสร้างใบหน้าได้ตามต้องการอย่างเป็นธรรมชาติ

ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีที่สุด ?

ในปัจจุบันนี้ มีฟิลเลอร์ให้เลือกใช้หลากหลายยี่ห้อและหลากหลายราคา ขึ้นอยู่กับงบประมาณและบริเวณที่ต้องการฉีด เพราะฟิลเลอร์แต่ละรุ่นถูกออกแบบมาให้ใช้งานในบริเวณที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นการเลือกฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีที่สุด จึงขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะเป็นผู้แนะนำยี่ห้อและรุ่นตามความเหมาะสมกับปัญหานั้นๆ

ฟิลเลอร์มีกี่แบบ มีอะไรบ้าง ?

นอกจากฟิลเลอร์จะมีรุ่นที่ออกแบบตามบริเวณและปัญหาที่ต้องการแล้ว ยังสามารถแบ่งออกได้เป็นอีก 3 ประเภท คือ

  1. ฟิลเลอร์ชั่วคราว เช่น HA Filler เป็นฟิลเลอร์ที่พบเห็นได้ทั่วไปและได้รับความนิยมมากที่สุด สามารถอยู่ได้นาน 6-24 เดือน (ขึ้นอยู่กับการดูแลสภาพผิวหลังทำ รวมถึงยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์) เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว ฟิลเลอร์ประเภทนี้จะค่อยๆ สลายไปตามธรรมชาติ
  2. ฟิลเลอร์กึ่งถาวร เช่น สารแคลเซียม ไฮดรอกซีอะพาไทต์ หรือสาร PLLA สารชนิดนี้จะมีอายุประมาณ 3 ปีขึ้นไป ไม่ค่อยมีความปลอดภัยและไม่ผ่าน อย. เมื่อฉีดไปนานๆ จะพบปัญหาการอักเสบ หรือเกิดการจับตัวเป็นก้อน
  3. ฟิลเลอร์ถาวร เช่น สารพาราฟิน ซิลิโคนเหลว หรือสาร PMMA สารเหล่านี้เมื่อฉีดแล้วจะฝังตัวใต้ชั้นผิวไปตลอด ไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ เมื่อเกิดการอักเสบ เป็นก้อน และต้องการเอาออก จะต้องกรีด ผ่าตัด และขูดออกเท่านั้น สามารถพบได้ในฟิลเลอร์ราคาถูกที่ฉีดโดยหมอกระเป๋าเป็นส่วนใหญ่

และล่าสุดนี้ มีฟิลเลอร์ประเภทใหม่ที่เพิ่มเข้ามา คือฟิลเลอร์งานผิว (Skin Booster) เช่น Skinvive ของบริษัท Allergan (บริษัทเดียวกับผู้ผลิตฟิลเลอร์ Juvederm) ฟิลเลอร์ประเภทนี้จัดอยู่ในฟิลเลอร์ชั่วคราวเช่นกัน แต่จะเน้นไปที่การสร้างความชุ่มชื้น กักเก็บน้ำ ทำให้ผิวดูอิ่มฟู สุขภาพดี ไม่ได้ใช้ลดริ้วรอย เติมเต็มร่องลึกเหมือนฟิลเลอร์ทั่วไป

เนื้อฟิลเลอร์แต่ละชนิด ต่างกันอย่างไร ?

เนื่องจากฟิลเลอร์แต่ละรุ่น มีคุณสมบัติ มีการใช้งานและราคาที่ไม่เหมือนกัน จึงต้องแบ่งออกตามประเภทของเนื้อฟิลเลอร์ ได้แก่

  1. ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีลักษณะเป็นเนื้อเจลใสๆ คล้ายกับน้ำ มีความนิ่ม ขึ้นรูปง่าย จึงมักใช้ฉีดใต้ตา หน้าผาก
  2. ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีลักษณะเป็นเนื้อเจลนุ่มหนืดคล้ายเยลลี่ แต่ไม่เป็นก้อน มักใช้ฉีดบริเวณริมฝีปาก หรือเก็บริ้วรอย
  3. ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง มีความแข็งและคงตัวมากที่สุดเพื่อให้ใกล้เคียงกับกระดูก เพราะฉะนั้นจึงช่วยยกผิวให้กลับขึ้นมาเหมือนเดิมได้ มักใช้สำหรับเสริมคาง ขมับ สันกราม

ด้วยเหตุนี้ ทำให้การฉีดฟิลเลอร์ทุกครั้งควรได้รับการประเมินด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ เนื่องจากปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แพทย์จึงต้องพิจารณาทั้งรูปหน้าและปัญหาอื่นๆ ประกอบด้วย บางคนอาจต้องใช้ฟิลเลอร์หลายซีซี บางคนอาจต้องใช้ฟิลเลอร์ 1-2 ชนิดร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ฟิลเลอร์ ราคาเท่าไร ?

ส่วนใหญ่แล้ว ฟิลเลอร์ ราคาจะเริ่มต้นตั้งแต่ 6,000 – 25,000 บาทขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อ หากเลือกซื้อฟิลเลอร์ราคาถูกเกินไป อาจเป็นไปได้ว่าเป็นของปลอมที่มีความอันตรายสูง

ฟิลเลอร์ราคาถูก ใช้ได้ผลหรือเปล่า ?

ฟิลเลอร์ราคาถูก ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดได้จาก 2 กรณี ได้แก่

  • ฟิลเลอร์หิ้ว เป็นการหิ้วฟิลเลอร์มาจากต่างประเทศโดยไม่ผ่าน อย. ไทย ทำให้มีราคาค่อนข้างถูกกว่าปกติ 2-3 เท่า ฟิลเลอร์ประเภทนี้แม้จะมีกล่องแบรนด์ให้ด้วย แต่อาจมีการปนเปื้อนสารอื่นๆ หรือบรรจุของปลอมลงไปแทนได้
  • ฟิลเลอร์ปลอม ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้สารแบบกึ่งถาวร หรือแบบถาวรลงไปผสมทำให้มีราคาถูก เมื่อฉีดช่วงแรกๆ อาจเห็นผลลัพธ์เป็นที่พึงพอใจ แต่ในระยะยาวอาจส่งผลเสียจนถึงขั้นต้องผ่าตัดเพื่อเอาก้อนฟิลเลอร์ออกได้ ในกรณีที่ฉีดใต้ตา อาจทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงจนถึงขั้นตาบอด

ฉีดฟิลเลอร์ จุดไหนได้บ้าง ?

โดยทั่วไปแล้ว จุดที่มักจะมีการฉีดฟิลเลอร์บ่อยๆ มีด้วยกัน 7 จุด ได้แก่

  1. หน้าผาก (2-5 ซีซี) เพื่อปรับให้รูปหน้าดูมีมิติมากขึ้น บางคนอาจช่วยเสริมโหงวเฮ้งให้ดีกว่าเดิม
  2. ขมับ (2-4 ซีซี) ปรับให้หน้าดูเต็ม ดูอ่อนหวานละมุนมากขึ้น
  3. ใต้ตา (2-4 ซีซี) เพื่อลดริ้วรอย ลดถุงใต้ตา ลดความดำคล้ำของใต้ตา
  4. บริเวณแก้ม (1 ซีซี) เพื่อให้หน้าดูอิ่มฟู ดูเต็ม ดูอ่อนวัยกว่าเดิม
  5. ร่องแก้ม (2 ซีซี) เพื่อลดริ้วรอยที่ทำให้ดูแก่กว่าวัยอันควร
  6. ปาก (1-2 ซีซี) เพื่อปรับรูปปากให้ดูอวบอิ่ม ชุ่มชื้น 
  7. คาง (1-2 ซีซี) เพื่อปรับให้หน้าดูเรียว ดูคมชัดขึ้น

ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แตกต่างกันยังไง ?

สำหรับผู้ที่ต้องการเปรียบเทียบราคาและยี่ห้อฟิลเลอร์ทั้งหมดที่ The Venisia Clinic มีให้บริการ มีรายละเอียด

ฟิลเลอร์ Ultra V Hyal Filler

Ultra V เป็นฟิลเลอร์ที่มาจากประเทศเกาหลี และผ่านการรับรองจาก อย. ไทย จุดเด่นของฟิลเลอร์นี่ห้อนี้คือการเอาเนื้อฟิลเลอร์แบบละเอียด และแบบเจลมาผสมกัน จนเกิดเป็นเนื้อแบบ Multi-Layeref เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด และอยู่ได้นานที่สุดในราคาระดับกลางๆ

  • Hyal Medium เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มที่มีความคงตัวและความหนาแน่นสูง เหมาะสำหรับใช้เติมร่องแก้ม และหน้าผาก เพื่อให้หน้าดูอิ่มฟู ดูเด็กกว่าวัย อยู่ได้นาน 8-16 เดือน
  • Hyal Hard เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มที่มีความหนาแน่นกว่าแบบ Medium ใช้สำหรับการยกกระชับ ปรับรูปหน้า รวมถึงเพิ่มมิติของหน้าแบบเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 8-16 เดือนเช่นกัน

ฟิลเลอร์ Juvederm

Juvederm เป็นฟิลเลอร์ที่มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ผลิตโดยบริษัท Allergan (ที่จำหน่าย Botox Allergan) และผ่านการรับรอง อย. ไทย

จุดเด่นของฟิลเลอร์ Juvederm คือการใช้เทคโนโลยีช่วยให้เนื้อฟิลเลอร์อุ้มน้ำได้มาก และอุ้มน้ำได้ดี ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดมีความยืดหยุ่นสูงจนดูเป็นธรรมชาติ และนอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของยาชา Lidocaine จึงช่วยลดความเจ็บปวดในขณะที่ฉีด

  • Juvederm Volift เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มระดับปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูง นิยมฉีดบริเวณร่องแก้ม ใต้ตา และร่องน้ำมากที่ยังไม่ลึกมาก หลังฉีดสามารถอยู่ได้นาน 12-18 เดือน
  • Juvederm Voluma เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็งระดับปานกลาง มีความยืดหยุ่นและหนาแน่นสูง จึงเหมาะกับการปั้นเพื่อฉีดบริเวณร่องแก้มที่มีความลึก รวมถึงผู้ที่มีปัญหาแก้มตอบ นอกจากนี้ยังใช้ฉีดขมับและคางได้ด้วย อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Juvederm Volite เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เหมาะสำหรับเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวอิ่มฟู ดูมีสุขภาพดีมากขึ้น นอกจากนี้ยังใช้ลดริ้วรอยเล็กๆ น้อยได้ด้วย อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
  • Juvederm Volux เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ความหนาแน่นสูง ใช้ปั้นขึ้นรูปแทนการยุบของกระดูกได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมขมับ เติมร่องแก้มที่ลึกมากๆ รวมถึงผู้ที่ต้องการเติมเต็มใบหน้าส่วนล่าง อยู่ได้นาน 18 เดือน

ฟิลเลอร์แท้ ดูยังไง ?

  • ฟิลเลอร์ของแท้ จะต้องมีเลขทะเบียน อย.ไทย และจะต้องมีเอกสารกำกับเป็นภาษาไทย โดยที่ลูกค้าสามารถขอกล่องจากคลินิกเพื่อมาตรวจสอบได้
  • กล่องฟิลเลอร์ก่อนแกะต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีรอยฉีกขาดหรือรอยเปิดก่อนหน้า
  • มีวันหมดอายุ และเลขล็อตที่ผลิตระบุไว้บนกล่องอย่างชัดเจน
  • เลขล็อตสินค้าบนกล่อง และบนขวดตรงกัน สามารถตรวจสอบกับบริษัทผู้ผลิตได้

รีวิวผู้เข้ารับบริการ Filler